การดูแลผิวพรรณ

การดูแลผิวพรรณ คือปัจจัยสำคัญในการรักษาสุขภาพโดยรวม เช่นเดียวกับการออกกำลังกายและการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

     คุณจึงควรดูแลให้ผิวมีสุขภาพดีอยู่เสมอ การดูแลผิวพรรณ แนะนำให้ควรเริ่มดูแลผิว ตั้งแต่อายุยังน้อย ปัญหาไม่เยอะ และยังเป็นการช่วยชะลอวัยในอนาคตได้อีกด้วย จึงทำให้เราดูเด็กอ่อนเยาว์ มากกว่าคนที่ไม่ได้ดูแลในวัยใกล้เคียงกันอยู่หลายปี การละเลยและปล่อยให้มีปัญหาหลายอย่างแล้วมาดูแลแก้ไขทีเดียวจะเป็นการยาก แม้ว่าเราจะมีเทคโนโลยีที่ดีทันสมัยก็อาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ได้อย่างที่เราคาดหวัง

การดูแลสุขภาพ

ผิวพรรณ

การดูแลผิวพรรณ ให้ดูสวยงาม เป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งที่เกิดจากการดูแลผิวที่ดี สาเหตุที่ทำให้ผิวพรรณเสื่อมโทรม แก่ชรา หมองคล้ำ เป็นฝ้า กระ และจุดด่างดำ ได้แก่

  1.  แสงแดด รังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดดสามารถทำให้ผิวหนังเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ เพราะแสงแดดเป็นตัวทำลายคอลลาเจนที่เป็นเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่ประสานเซลล์ผิวหนังเข้าด้วยกันและไฟเบอร์อีลาสตินในผิวหนังจะหนาขึ้นเมื่อได้รับแสงแดดมากเกินไป หลาย ๆ คน โดยเฉพาะฝรั่งที่นิยมอาบแดดทำผิวสีแทน อาจจะเป็นที่นิยมแต่ก็ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผิวหนัง และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งผิวหนังด้วย ส่วนกลไกการเกิดผิวสีแทนนั้น เมื่อผิวหนังของเราโดนแสงแดดจะไปกระตุ้นเม็ดสีเมลาโนไซท์ให้ปล่อยเมลานินออกมา และเม็ดสีจะย้ายไปอยู่ที่พื้นผิวของผิวหนังและทำให้เกิดสีน้ำตาลขึ้น เพื่อปกป้องผิวจากการถูกทำลายโดยแสงแดด นอกจากนี้ความร้อนจากแสงแดดยังเป็นตัวทำให้น้ำมันที่เคลือบผิวหนังลดน้อยลงอีกด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังลอกเป็นสะเก็ดและแห้ง
  1. อากาศแห้ง อย่างฤดูหนาว ความชื้นในอากาศจะต่ำลงเป็นสาเหตุทำให้ผิวแห้งหยาบ ส่วนลมหนาวจะเป็นตัวทำให้ผิวแห้งแตกและดึงความชุ่มชื้นออกจากผิวหนัง ดังนั้นเมื่ออากาศหนาว ๆ เราจึงจำเป็นต้องทาโลชั่นป้องกันผิวไว้ทั้งตัว ส่วนเครื่องทำน้ำอุ่นก็ทำให้ผิวแห้งได้เช่นกัน นอกจากนี้เครื่องปรับอากาศในเมืองร้อนและอากาศเทียมบนเครื่องบินก็ทำให้ผิวแห้งได้ด้วย เราจึงจำเป็นต้องทาครีมเพิ่มความชุ่มชื้นให้ทั่วผิวด้วย
  2. อากาศหนาว อากาศที่หนาวจัดจะทำให้เส้นเลือดหดตัว เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ไม่ดีนัก เราจึงจำเป็นต้องมีการออกกำลังบริหารร่างกายเพื่อกระตุ้นเลือดให้ไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆของร่างกายรวมถึงผิวหนังด้วย และควรสวมเสื้อผ้าให้ความอบอุ่น รวมทั้งการปรับอุณหภูมิของน้ำอุ่นที่ใช้อาบให้เย็นขึ้น
  3. มลภาวะในอากาศ ฝุ่นควันเสีย ควันจากอาหาร ฯลฯ จะทำให้มีสารตกค้างที่ผิวหนังจนส่งผลทำให้ผิวพรรณเสื่อมโทรมและดูหมองคล้ำ ซึ่งปกติแล้วเยื่อหุ้มเซลล์จะเป็นด่านป้องกันที่สำคัญของร่างกายและมีหน้าที่ตัดสินว่าสารตัวใดที่ควรหรือไม่ควรจะนำเข้าสู่ร่างกาย สารอันตรายจะถูกกันออกจากเซลล์โดยเยื่อหุ้มเซลล์ได้ในปริมาณหนึ่ง แต่ถ้ามากเกินไปก็จะกันไม่ได้ (สารอนุมูลอิสระสามารถทำลายกลไกนี้ได้)
  4. ความเครียด เป็นสาเหตุทำให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียดและการทำงานของร่างกายแปรปรวนในหลายระบบ รวมทั้งการขับถ่ายของเสีย สารพิษ และทำให้ผิวหนังเสื่อมง่าย
  5. สารตกค้าง ในอาหารหลายชนิดก็เป็นสาเหตุทำให้ร่างกายไม่สดใสงดงามได้ อีกทั้งยังเป็นอนุมูลอิสระที่คอยทำให้เซลล์เสื่อมและแก่ชรา เช่น สารกันบูด สารกันรา ยาฆ่าแมลง เป็นต้น
  6. การสูบบุหรี่ อีกสาเหตุที่ทำให้เกิดสารอันตรายเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทำให้หลอดเลือดหดตัว และทำให้การส่งสารอาหารไปตามหลอดเลือดแย่ลง
  7. ยาเสพติด ก็ทำให้เกิดสารอันตรายทำลายเนื้อเยื่อต่าง ๆ ได้เช่นกัน และยังมีสารอนุมูลอิสระที่ทำลายเซลล์ให้เสื่อม แก่ชรา และอาจกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้
  8. เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เช่น น้ำชา กาแฟ จะทำให้เนื้อเยื่อทั่วร่างกายและผิวหนังขาดน้ำจนเกิดรอยเหี่ยวย่นและเกิดถุงใต้ตาได้ง่าย
  9. แสงไฟที่สว่างจากจอคอมพิวเตอร์ จอโทรศัพท์ที่มีรังสีต่าง ๆ จะไปกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีดำมากขึ้นและกระจายสู่หนังกำพร้าได้เช่นเดียวกับแสงอาทิตย์
  10. น้ำหนักตัวที่ลดลงอย่างรวดเร็ว มีผลทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นและหย่อนยานอย่างชัดเจน ดังนั้นการควบคุมน้ำหนักตัวให้คงที่จะช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้
การดูแลผิวพรรณ

วิธีดูแลผิวหน้า

  1. หลีกเลี่ยงสาเหตุทำให้ผิวแห้งเสีย ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุตามที่กล่าวมา เช่น งดการโดนแดดจัดและใช้ครีมกันแดดอยู่เสมอ (สำคัญมาก), ใช้ครีมมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินเอ วิตามินอี และกลูต้าไธโอน ซึ่งจะช่วยช่วยป้องกันการทำลายผิวจากแสงแดดได้บ้าง 
  2. งดการสูบบุหรี่ ยาเสพติด สุรา เพราะมีสารอันตรายไปทำลายเซลล์ เป็นอนุมูลอิสระทำให้แก่เร็ว และอาจเป็นโรคร้ายได้ง่ายขึ้นด้วย 
  3. ไม่ดื่มชาหรือกาแฟเกินกว่าวันละ 2 แก้ว เพราะจะทำให้เซลล์สูญเสียน้ำ การทำงานของเซลล์ก็จะเสียไป 
  4. ในหน้าหนาว ถ้าต้องอาบน้ำอุ่นก็ให้ฟอกสบู่ไว ๆ เพราะถ้ายิ่งถูนานเท่าไรความชุ่มชื้นใต้ผิวก็จะยิ่งถูกดึงออกไปมากขึ้นเท่านั้น ส่วนหลังอาบน้ำก็ให้ทาโลชั่นหรือครีมบำรุงที่เข้มข้นและทาให้บ่อยขึ้น หรือหลังล้างหน้าเสร็จก็ให้ทามอยส์เจอไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นกลับไปทันที โฟมล้างหน้าที่ใช้ก็ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพผิว ล้างแล้วไม่ทำให้หน้ารู้สึกตึงมากก็เป็นอันใช้ได้ เป็นต้น
  5. กินอาหารให้ครบห้าหมู่ อาหารที่มีวิตามิน แร่ธาตุต่าง ๆ ควรกินผักผลไม้ เพื่อร่างกายจะได้รับกากใยอาหารซึ่งจะเป็นผลดีต่อระบบขับถ่าย ส่วนสารอาหารที่ได้จากการกินอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยป้องกันเยื่อหุ้มเซลล์จากการถูกทำลายด้วยขบวนการออกซิเดชั่นได้ เช่นอาหารที่มีวิตามินซี วิตามินอี และแร่ธาตุต่าง ๆ ถ้าเรากินอาหารตามธรรมชาติให้ครบ 5 หมู่ ก็ไม่จำเป็นต้องหาอาหารเสริมมารับประทานกันแล้วไม่อดอาหาร อาหารที่ไม่ครบถ้วนตามหลักโภชนาการและการจำกัดแคลอรีด้วยการอดอาหาร ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพผิวหนัง เพราะจะเป็นสาเหตุทำให้กล้ามเนื้อหลวมและกล้ามเนื้อขาดความกระชับมั่นคงแข็งแรง ผิวหนังขาดความมั่นคงแข็งแรง และยังเป็นสาเหตุของปัญหาอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง เช่น การขาดวิตามินบี 2 วิตามินบี 6 ไนอะซิน ธาตุสังกะสี จะทำให้ผิวหนังแห้งกร้าน มีผื่นแดงบนผิวหนัง เป็นต้น 
  6. ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ ในแต่ละวันคุณควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 6-8 แก้ว โดยให้ดื่มเรื่อย ๆ ตลอดทั้งวัน น้ำที่ดื่มควรเป็นน้ำสะอาด เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้นเนื่องจากน้ำนั้นเป็นส่วนประกอบของเซลล์ทุกเซลล์ที่จะทำงานได้ดี ทำให้ผิวดูชุ่มชื้นและเต่งตึงขึ้นได้บ้าง อีกทั้งน้ำยังช่วยกำจัดของเสียออกทางเหงื่อและไตและน้ำยังเป็นสารอาหารที่จำเป็นที่สุดที่ร่างกายต้องการนำกลับมาชดเชยหลังจากออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ อีกด้วย
  7. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายจะทำให้เกิดการขับเหงื่อ และในขณะเดียวกันยังช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นของผิวหนังเอาไว้ได้จากการกระตุ้นต่อมผลิตไขมัน การออกกำลังกายจึงช่วยรักษาสุขภาพผิวและคงความชุ่มชื้นของผิวหนัง นอกจากนี้ ยังช่วยให้การหมุนเวียนของเลือดเพิ่มขึ้นอีกด้วย ซึ่งจะช่วยทำให้ผิวของคุณดูสดใสเปล่งปลั่งได้มาก แต่ถ้าไม่มีเวลามากพอคุณอาจทำกิจกรรมอื่น ๆ ทั่วไปแทนก็ได้
การดูแลผิวพรรณ

อาหารผิว

อาหารเพื่อผิวพรรณที่สดใส ดูเปล่งปลั่งตลอดเวลา มาดูสิมีอะไรบ้าง

1. พืช ผัก ผลไม้  ตระการไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ( Antioxidant) ช่วยต่อสู้กับมลภาวะจากสิ่งแวดล้อม กำจัดของเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ส้ม มะนาว มะละกอ สตรอเบอร์รี่ บรอคเคอร์รี่ ดอกกะหล่ำ ผักโขม แครอท คะน้า เป็นต้น

2. พืชที่มีเบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) หรือวิตามินเอ (Vitamin A) ช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิว ซ่อมแซมเซลล์ที่ถูกแสงแดดทำลาย ทั้งยังช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็งผิวหนังด้วย เริ่ด! เช่น ฟักทอง แครอท แตงโม แคนตาลูป มะเขือเทศสุก ฝรั่ง ผักโขม เป็นต้น

3. เซเรเนียม (Selenium) ช่วยปกป้องผิวจากการถูกแสงแดดทำลาย  มีมากในธัญพืชที่ไม่ฟอกขาว เช่น เนื้อแดง กุ้ง ปู ข้าวกล้อง ไข่ เห็ด

4. วิตามินซี (Vitamin C) ช่วยผลิตคอลลาเจน และปกป้องเซลล์ผิวถูกทำลาย พบอาหารผิวมากๆ จาก ฝรั่ง ส้ม สับปะรด และมะขามป้อม 

5. อาหารที่มีวิตามินอีและสังกะสี (Vitamin E & Zinc) ช่วบปกป้องผิวชั้นนอกจากรังสี UV วิตามินอี เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมัน ถั่ว งา ข้าวกล้อง สังกะสีพบในปู หอยนางรม เนื้ออกไก่ จมูกข้าว

6. กรดไขมันจำเป็นตระกูลโอเมก้า-3 (Essential Fatty Acid: Omega-3) เสริมสร้างให้ผิวชั้นนอกแข็งแรง จึงสามารถเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิวได้ดี ช่วยให้ผิวไม่แห้งตึง ป้องกันการอักเสบ พบมากในปลาทู ปลาทะเลทั่วไป สาหร่าย น้ำมันถั่วเหลือง

    พื้นฐาน การดูแลสุขภาพผิวพรรณให้ดี มีปัจจัยหลายอย่างที่จะช่วยส่งเสริมสุขภาพผิวพรรณดีขึ้นได้ผิวพรรณเป็นอวัยวะที่สำคัญในร่างกาย ต้องรู้จักดูแลรักษาเพื่อช่วยให้เกิดความประทับใจกับผู้พบเห็น ปัญหาทางด้านผิวพรรณที่คนส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญ ได้แก่ สิว ใบหน้าหมองคล้ำ ฝ้า กระจุดด่างดำ รวมไปถึงริ้วรอยทั้งบริเวณหางตา หน้าผาก และร่องแก้ม ซึ่งหากปล่อยให้เกิดปัญหา ย่อมไม่ง่ายที่จะรักษาให้หาย แต่หากรู้จักป้องกันและดูแลรักษาผิวอยู่เสมอย่อมลดโอกาสเกิดปัญหาผิวดังกล่าวได้